วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อาวุธโบราณของไทย

อาวุธ ไทยในสมัยโบราณ



ง้าวง้าวเป็นอาวุธชนิดหนึ่งซึ่งใช้สำหรับฟันและแทง ตัวง้าวทำด้วยเหล็ก ยาวประมาณ 220 เซนติเมตร ง้าวมักจะใช้สู้เมื่ออยู่บนหลังช้าง ซึ่งเติมขอที่โคนง้าว เรียกกันว่า " ของ้าว "

พลองเป็นอาวุธซึ้งใช้สำหรับตี พลองนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า " สี่ศอก " เพราะว่ามีความยาว 4 ศอก ปรกติทำด้วยไม้ที่มีความเหนี่ยว ไม่หักง่าย หรือทำด้วยเหล็ก ยาวประมาณ 200 เซฯติเมตร



กระบี่กระบี่แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ กระบี่รำ กระบี่ตี และกระบี่จริง กระบี่เป็นอาวุธหลักที่ใช้ในการรบของทหารไทยสมันโบราณใช้สำหรับฟันแทงระยะประชิดตัว

ดาบเป็นอาวุธที่ใช้สำหรับฟังและแทงตัวดาบจะทำด้วยเหล็กอย่างดีมีโค้งตอนปลายเล็กน้อย มีความยาวประมาณ 90 เซนติเมตร มีน้ำหนักมากกว่ากระบี่แต่นำหนักส่วนมากอยู่ที่ตอนปลาย



ไม้ศอก


หรือ ไม้สั้นไม้สั้นนับว่าเป็นเครื่องกระบี่กระบองที่สำคัญชิ้นหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะคล้ายกระดูกท่อนปลายแขน เป็นท่อนไม้รูปสี่เหลี่ยมยาวประมาณ 45 เซนติเมตร กว้างและสูงประมาณ 7 เซนติเมตร
 
สมัยอยุธยา
 
 
1

อาวุธฟันแทง แบบต่างๆซึ่งนับเป็นอาวุธประจำกายที่มีความสำคัญและมีบทบาทในการสงครามมายาวนาน จนกระทั่งเมื่อมีการใช้ปืนไฟขนาดเล็กอย่างแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ อาวุธฟันแทงจึงค่อยๆ หมดบทบาทในการสู้รบลงไป
อาวุธฟันแทงมีรูปแบบที่หลากหลาย แตกต่างไปตามวัตถุประสงค์การใช้ ทั้งฟัน แทง ฟาด และตีโดยมากจะเลือกตามความถนัดของแต่ละบุคคล และด้วยเป็นอาวุธที่ใช้ในการรบระยะประชิด ขั้นตะลุมบอนหรือประจัญบาน อานุภาพของอาวุธฟันแทงจึงขึ้นอยู่กับพละ กำลัง ความชำนาญ เชี่ยวชาญ และหาญกล้าของผู้ใช้เป็นสำคัญ ในประเทศไทยพบหลักฐานการใช้อาวุธฟันแทง มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อเริ่มมีการนำโลหะมาใช้ทำเครื่องมือต่างๆ เช่น ใบหอกหรือใบมีดสำริด ใบขวานเหล็ก และเริ่มมีรูปแบบมากขึ้นในสมัยประวัติศาสตร์ เมื่อมีการจัดตั้งกองทัพอาวุธฟันแทงจึงเป็นอาวุธประจำกายทหารเรื่อยมาจนถึงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ แม้ว่าจะเริ่มมีการใช้ปืนไฟขนาดเล็กแล้วก็ตาม จวบจนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการพัฒนาประเทศหลายๆ ด้าน รวมทั้งด้านการทหารและการสรรพาวุธ มีการสั่งซื้อปืนเล็กแบบใหม่ๆเข้ามาประจำการในกองทัพมากขึ้นเรื่อยๆ อาวุธฟันแทงจึงไม่ได้เป็นอาวุธประจำกายทหารสำหรับทำการรบอีต่อไป แต่ยังคงมีความสำคัญในการเป็นเครื่องหมายแสดงฐานะยศ และเป็นเครื่องประกอบในพระราชพิธีต่างๆ อาวุธฟันแทงที่ปรากฏว่ามีใช้ในประเทศไทยได้แก่ ดาบ กระบี่ กั้นหยั่น ทวน หอก ง้าว ของ้าว โตมร แหลน หลาว ตะบอง พลอง พร้าและมีดสำหรับในพิพิธภัณฑ์ทหารสรรพาวุธนั้น มีอาวุธฟันแทงอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
 
2
ทวนด้ามหวาย ยาว 2.30 เมตร (ล่าง) หอกด้ามไม้รวกแบบไม่มีกระบัง ยาว 2.30 เมตร
ทวน มีลักษณะเช่นเดียวกับหอกที่ไม่มีกระบัง และจะมีสายหนังพันด้ามเพื่อใช้ในการจับ เป็น อาวุธที่มีความคล่องตัวในการใช้มากกว่าหอก ใช้ได้ทั้งบนหลังช้าง หลังม้า และพื้นราบแต่มักใช้เป็นอาวุธสำหรับทหารม้าเป็นส่วนใหญ่ ทวนจะมีพู่ขนสัตว์ผูกไว้เป็นพวงตรงคอโดยมากจะเป็นขนจามรีซึ่งถือเป็นสัตว์มงคล3
ง้าว มีลักษณะเหมือนกับดาบด้ามยาวใช้สำหรับฟันและแทง ด้วยด้ามที่ยาวมากจึงต้องจับด้วยสองมือ และใช้ประโยชน์จากแรงเหวี่ยงทำให้ให้สามารถฟันได้ไกลและรุนแรงกว่าดาบเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้ได้ทั้งบนพื้นดินและหลังช้าง ประกอบด้วย ตัวง้าว (ส่วนใบดาบ) กระบัง และคันง้าวหรือด้ามง้าว หากมีขอติดที่โคนตัวง้าวจะเรียกว่า ของ้าว ซึ่งใช้บนหลังช้างเท่านั้น

                            5 
(กลาง) ขอเกราะ ด้ามไม้ สามง่าม ด้ามไม้ แป๊ะกั๊ก
(ซ้าย,ขวา) แหลน ด้ามไม้
แป๊ะกั๊ก เป็นอาวุธสำหรับฟัน ซึ่งมีรูปแบบที่สืบทอดมายาวนาน เพราะพบหลักฐานจากภาพจำหลัก (ภาพสลักนูนต่ำ) ที่ปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา เป็นช่วงเวลาก่อนสมัยสุโขทัย


7
ใบดาบไทยแบบต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์ทหาร สรรพาวุธ ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา กำหนดอายุราว พุทธศตวรรษที่ 21 -22

ดาบไทย เป็นอาวุธประจำกายที่สำคัญของทหารพลเดินเท้า และมีบทบาทอย่างมาก ในการรบระยะประชิดหรือการซุ่มโจมตี และขับไล่ข้าศึก เป็นอาวุธที่ต้องใช้ทักษะความสามารถ และความกล้าหาญของผู้ใช้อย่างมาก ดาบมีส่วนร่วมในการสร้างวีรกรรมในประวัติศาสตร์ของชาติไทยหลายต่อหลายครั้ง ดาบไทยมีชื่อเรียกตามลักษณะปลายดาบ เช่น ดาบหัวตัด ดาบหัวปลาซิว ดาบหัวปลาหลด บางครั้งก็เรียกตามการใช้ เช่น ดาบคู่ ดาบเขน ดาบโล่ หรือ ดาบดั้ง เป็นต้น     

 

8

ธนู
ประกอบด้วย คันธนู ซึ่งมักทำจากไม้ไผ่ และ สายธนู ทำด้วยเชือกป่าน เส้นหวาย หรือหนังดิบ ในระยะเริ่มแรกลูกธนูจะทำจากดินเผา ใช้สำหรับล่าสัตว์ขนาดเล็ก ต่อมาจึงมีการคิดทำลูกศร ที่มักทำด้วยไม้ไผ่เสี้ยมปลายให้แหลม ต่อมามีการติดปลายด้วยวัสดุแหลมคมทำจากกระดูกสัตว์ เครื่องมือหิน และพัฒนามาเป็นโลหะ คันธนูจึงต้องมีความแข็งแรงขึ้น ธนูลักษณะนี้เรียกว่า “ธนูศร” ซึ่งมีอำนาจการทำลายมากขึ้น ใช้ล่าสัตว์ใหญ่ และสังหารบุคคลได้ 




9
ธนูและหน้าไม้
  หน้าไม้ เป็นการพัฒนาอาวุธยิงอีกขั้นหนึ่ง โดยนำโลหะมาทำเป็นคันธนูแล้วยึดติดกับด้ามไม้ มีรางวางลูกธนูบนด้าม และสร้างกลไกสำหรับเหนี่ยวปล่อยลูกศร ทำให้ยิงได้ไกล แม่นยำ และมีแรงกระทบมากขึ้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น